เล็งแจ้งข้อหาเพิ่ม! ตำรวจ จ.เชียงใหม่ ยศพันตำรวจโท เป็นหัวหน้าแก๊งคอลเซ็นเตอร์? “ร่วมองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ” โดนสั่งสอบวินัยร้ายแรง-ให้ออกราชการ ก่อนฝากขังพรุ่งนี้ (21 ก.ค.67)
หลังจากชุดสืบสวนภาค 5 นำกำลังเข้าจับกุม พ.ต.ท.บัณฑิต สารวัตรอำนวยการ สภ.หางดง คาผ้าเหลือง หลังสืบสวนขยายผลพบว่า พ.ต.ท.บัณฑิต กลายเป็นหัวหน้าเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ คอยบงการให้ลูกชวนเพื่อนมาร่วมดูแลระบบ ก่อนจะหนีคดีไปบวชอยู่ที่วัดแห่งหนึ่งใน จ.ลำปาง เจ้าหน้าที่จึงได้จับสึกและคุมตัวไปที่ สภ.ช้างเผือก อ.เมืองเชียงใหม่ ซึ่งเป็นท้องที่ออกหมายจับ ก่อนที่เจ้าตัวจะปฏิเสธเสียงแข็งว่าใช่หัวหน้าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เป็นแค่คนในทีม โดยมีคนจีนเป็นหุ้นส่วน
ล่าสุดวันนี้ (20 ก.ค.67) พล.ต.ต.วีรชน บุญทวี รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 ได้เดินทางไปที่ สภ.ช้างเผือก อ.เมืองเชียงใหม่ เพื่อสอบสวนปากคำ พ.ต.ท.บัณฑิต พร้อมเผยว่า ในเบื้องต้น พ.ต.ท.บัณฑิต ยอมรับว่าเป็นคนนำอุปกรณ์ดังกล่าวมาติดตั้งวางระบบจริง แต่อ้างว่าไม่ทราบว่าอุปกรณ์ทั้งหมดเป็นเครื่องซิมบ็อกที่ใช้แปลงสัญญาณอินเทอร์เน็ตเป็นหมายเลขโทรศัพท์ภายในประเทศหลอกลวงประชาชนของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยบอกว่าได้รับการติดต่อให้จัดหาสถานที่และนำอุปกรณ์ดังกล่าวมาติดตั้งไว้ทั้งหมด 40 จุด ได้ค่าจ้างเครื่องละ 5,000 บาทต่อเดือน รวมแล้วเดือนละ 200,000 บาท แต่นำมาติดตั้งได้เพียง 12 เครื่องก็มาถูกจับกุมเสียก่อน
พล.ต.ต.วีรชน เผยต่อว่า ในทางสืบสวนทราบว่า พ.ต.ท.บัณฑิต ได้รับการติดต่อจาก นางสาวสุวรรณลักษณ์ อายุ 25 ปี ลูกติดภรรยาคนที่สอง ซึ่งรู้จักกับเครือข่ายคอลเซ็นเตอร์ที่มีฐานอยู่ฝั่งประเทศเพื่อนบ้านด้านจังหวัดเชียงราย เพื่อติดตั้งเครื่องซิมบ็อกในตัวเมืองเชียงใหม่ จากนั้นในช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา พ.ต.ท.บัณฑิต ได้เดินทางไปคุยรายละเอียดที่จังหวัดพะเยา และได้เงินค่าดำเนินการก้อนแรก 80,000 บาท
หลังจากนั้น ในเดือนมิถุนายนได้นำเครื่องซิมบ็อกไปติดตั้งที่ห้องพักของ น.ส.วนัชพร อายุ 26 ปี ลูกกับภรรยาคนแรก ที่ห้องพัก จ.เชียงใหม่ และได้เช่าห้องอีก 2 ห้อง เพื่อวางเครื่องซิมบ็อก ก่อนจะที่กลุ่มของลูกสาวจะถูกจับกุมและยึดเครื่องได้ทั้งหมด 12 เครื่อง นำไปสู่การขยายผลออกหมายจับ พ.ต.ท.บัณฑิต ในที่สุด
ทั้งนี้ พล.ต.ต.วีรชน บอกว่า แม้จะให้การภาคเสธแต่พนักงานสอบสวน มีหลักฐานเพียงพอที่จะดำเนินคดีตามหมายจับในข้อหา ข้อหา”ร่วมกันทำ มี ใช้ นำเข้า นำออก หรือค้าซึ่งเครื่องวิทยุคมนาคม โดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากเจ้าพนักงานผู้ออกใบอนุญาต ตามมาตรา 6 พระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม พ.ศ.2498, ร่วมกันตั้งสถานีวิทยุคมนาคม โดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากเจ้าพนักงานผู้ออกใบอนุญาต ตามมาตรา 11 พระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม พ.ศ.2498, ร่วมกันใช้คลื่นความถี่ในการประกอบกิจการโทรคมนาคม โดยไม่ได้รับอนุญาตอันมีลักษณะที่เป็นการประกอบกิจการโทรคมนาคมแบบที่สาม ตามมาตรา 67(3) ตามพระราชบัญญัติการประกอบกิจการโทรคมนาคม
โดยเครือข่ายคอลเซ็นเตอร์เป็นองค์การอาชญากรรมที่มีเครือข่ายใหญ่ คนที่เป็นนายทุนใหญ่เบื้องหลังก็เป็นชาวต่างชาติ และและมีฐานปฏิบัติการในประเทศเพื่อนบ้าน กรณี พ.ต.ท.บัณฑิต เป็นเพียงหนึ่งในส่วนประกอบของเครือข่าย เป็นการแบ่งกันทำหน้าที่ ไม่ได้เป็นตัวการหลักหรือหัวหน้าใหญ่ แต่หากการสอบสวนหลังจากนี้พบว่ามีพฤติกรรมที่มีหลักฐานและพิสูจน์ได้ว่าการนำอุปกรณ์มาวางติดตั้งเพื่อใช้ในการกระทำความผิดและมีพยานหลักฐานเชื่อมไปถึงตัวการใหญ่ ก็จะมีการแจ้งข้อหาเพิ่มเติมตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองกรอาชญากรรมข้ามชาติ
ส่วนการดำเนินการทางวินัย พล.ต.ท.กฤตธาพล ยี่สาคร ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 ได้สั่งการให้ พล.ต.ต.ธวัชชัย พงษ์วิวัฒนชัย ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ พิจารณาตั้งกรรมการวินัยร้ายแรงและสั่งให้ออกราชการไว้ก่อน ตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเรื่องนี้อยู่ในดุลพินิจของผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่
สำหรับในวันนี้ (20 ก.ค.67) พนักงานสอบสวนจะสอบปากคำอย่างละเอียดก่อนจะส่งตัวฝากขังที่ศาลจังหวัดเชียงใหม่ ในวันพรุ่งนี้ (21 ก.ค.67) พร้อมกับจะมีการสืบสวนขยายผลเตรียมออกหมายจับบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องเพิ่มเติมอีก 2 คน ซึ่งไม่ได้เป็นข้าราชการตำรวจ
เรียบเรียง ejan.co